เรื่องเล่าประสบการณ์จากการทำงานคลินิกฟ้าใส (อดบุหรี่)
“ลุงแซมกับบุหรี่มวนเดียว”
โดย
นางสาวิตรี ดาทอง
พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
โรงพยาบาลสนม อำเภอสนม จังหวัดสุรินทร์
เรื่อง
“ลุงแซมกับบุหรี่มวนเดียว”
ดิฉันเป็นพยาบาลทำงานประจำอยู่ที่โรงพยาบาลในชนบทแห่งหนึ่ง เป็นโรงพยาบาลขนาด 30 เตียง
อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 56 กิโลเมตร มีแพทย์ประจำทั้งหมด 4 คน
(จริงแล้วเป็นแพทย์หมุนเวียนมาปฏิบัติหน้าที่ ครบวาระ
1
ปีก็ย้าย)
เป็นถิ่นที่เกือบจะเรียกได้ว่ากันดารพอสมควร
เพราะว่าอำเภอที่ดิฉันทำงานอยู่เป็นอำเภอปิดคือไม่มีถนนที่จะเชื่อมต่อกับเส้นทางหลักในการสัญจรไปมา ทำให้การเดินทางเข้าตัวจังหวัดในแต่ละครั้งลำบากพอสมควร
เพราะไม่มีรถโดยสารประจำทางที่เดินทางตรงเวลาเลย
ดีไม่ดีก็ไม่มีรถที่จะเข้าตัวเมืองด้วยซ้ำ
ฉะนั้นไม่ต้องคิดถึงเรื่องความเจริญด้านต่างๆ เลยคะ
ดิฉันได้รับความไว้วางใจจากท่านผู้อำนวยการ ให้รับผิดชอบงานยาเสพติด ชาวบ้านที่มารับบริการที่นี่จะรู้จักกันดีในนามของ “คลินิกฟ้าใส” เปิดบริการวันจันทร์ถึงวันศุกร์
เป็นการให้บริการแบบครบวงจรในที่แห่งเดียวคือให้การดูแล ตรวจรักษาและรับยาตรงนี้ได้เลย
เป็นบริการพิเศษที่คิดว่าผู้รับบริการจะมีความสะดวกและเกิดความพึงพอใจมากที่สุด เพราะใคร ๆ
ก็ชอบการบริการเบ็ตเสร็จในขั้นตอนเดียว
การบำบัดบุหรี่ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ดิฉันทำเป็นประจำและรับผิดชอบงานยาเสพติดอื่นๆ ด้วย
การบำบัดบุหรี่ที่คลินิกของดิฉันนั้นจะต้องทำงานร่วมกับแผนกผู้ป่วยนอกที่มารับบริการโรคเรื้อรังต่าง
ๆ เช่น
โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
โรคหอบหืด โรคถุงลมโป่งพอง และโรคหลอดเลือดสมอง (ตามเกณฑ์ที่สปสช.กำหนด) โรคต่าง
ๆ ที่กล่าวมานี้
ดิฉันต้องเข้าไปสัมผัสกับผู้ป่วยทุกรายที่สูบบุหรี่ เพื่อที่จะประเมินการสูบบุหรี่ ให้คำแนะนำ
ให้ความรู้เกี่ยวกับโทษของบุหรี่ที่มีผลต่อร่างกาย ภาวะแทรกซ้อนจากโรคต่างๆ
และชักชวนเข้าคลินิกฟ้าใสเพื่อให้การบำบัดบุหรี่ ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถลด ละ
เลิกบุหรี่ได้ในที่สุด
ลุงแซม ชายวัยผู้ใหญ่
รูปร่างสันทัด ผิวดำแดง สวมใส่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้านดี
แกเป็นผู้ป่วยรายหนึ่งที่ดิฉันพบที่คลินิกโรคหอบหืดและโรคถุงลมโป่งพอง
แกมีโรคประจำตัวคือเป็นโรคถุงลมโป่งพองและเป็นโรคไทรอยด์ด้วย ตาโปนเล็กน้อย
ท่าทางเหนื่อยหอบพอสมควรสุขภาพทั่วไปในขณะนั้นไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไหร่ แกมาตรวจที่คลินิกตามนัด
จากการซักประวัติพบว่าลุงแซมสูบบุหรี่อยู่วันละ 3 -
4 มวน เป็นบุหรี่มวนเอง แกซื้อบุหรี่จากร้านค้าในหมู่บ้าน ห่อละ 5 - 10
บาท
ห่อหนึ่งจะสูบได้ประมาณ 2 - 3
วัน
แกจะมวนยาสูบเองคล้ายกับผู้สูบบุหรี่อื่น ๆ ในหมู่บ้าน
จึงเป็นโอกาสดีของดิฉันที่จะได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับโทษของการสูบบุหรี่ที่มีต่อโรคถุงลมโป่งพองและโรคไทรอยด์ที่ลุงแซมแกเป็นอยู่ว่า
“การสูบบุหรี่จะทำให้เกิดอาการหอบเหนื่อยมากและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นะลุง
ยาที่หมอให้ไปจะใช้ไม่ค่อยได้ผลเพราะว่าในบุหรี่มีสารพิษมากมายที่ทำให้ยาออกฤทธิ์ได้น้อยลง ลุงเป็นทั้งไทรอยด์ด้วย การสูบบุหรี่อยู่จะทำให้ควบคุมอาการของโรคยากมากขึ้น พูดง่าย
ๆ คือยาจะใช้ไม่ได้ผลนั่นเอง” ลุงแซมแกทำท่าเหมือนจะเข้าใจ และรับฟังด้วยความตั้งใจ
อาจเป็นเพราะว่าแกมีอาการหอบเหนื่อยอยู่ด้วยก็ได้ ทำให้แกตั้งใจฟังเป็นอย่างดี บางครั้งแกก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่แกไม่พูด
ดิฉันจึงถามแกว่า “ถ้าหมอจะนัดมาเข้าคลินิกเพื่อเลิกบุหรี่ ลุงยินดีที่จะมาไหม”
และดิฉันก็พูดถึงความสำคัญที่ต้องเลิกบุหรี่ให้แกเข้าใจ แกก็บอกว่า
“มาก็ได้”
จากนั้นดิฉันจึงเขียนใบนัดให้แกมารับบริการบำบัดบุหรี่ที่คลินิกฟ้าใสในอีก 1 สัปดาห์
วันนัดครั้งที่ 1 ลุงแซมเดินถือใบนัดมาที่คลินิกฟ้าใส แกมาคนเดียว
ดิฉันก็ทักทายและพูดคุยเรื่องต่าง
ๆ เพื่อเป็นการสร้างความคุ้นเคย ก่อนที่จะนำเข้าสู่เรื่องการสูบบุหรี่ ลุงแซมให้ความเป็นกันเอง ยิ้มแย้มแจ่มใสดี ดิฉันสังเกตว่าแกดูไม่หอบเหนื่อยเหมือนวันที่เจอกันที่คลินิกโรคหอบหืดเลย เมื่อมีความคุ้นเคยกันมากขึ้นแกดูเป็นกันเองแล้วดิฉันจึงเริ่มซักประวัติการสูบบุหรี่ การติดนิโคติน
และประเมินอาการต่าง ๆ แล้ว
ดิฉันจึงถามลุงแซมว่า
“ลงแซมสูบบุหรี่อยู่วันละกี่มวนคะ”
ลุงแซมบอกว่า
“หลังจากที่ได้คุยกับคุณหมอเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว จากที่เคยสูบบุหรี่วันละ 3 - 4 มวนนั้น ลุงก็พยายามลดลง ตอนนี้เหลือสูบอยู่วันละ 1 มวน”
ลุงแซมพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ดิฉันนึกดีใจ
อย่างน้อยสิ่งที่พูดในวันนั้นก็ทำให้ลุงแซมเห็นความสำคัญ และลดการสูบบุหรี่ลงได้ ดิฉันยิ้มชื่นชมในสิ่งที่ลุงแซมทำได้ และให้กำลังใจในการที่จะพยายามลดบุหรี่อีก 1 มวนให้ได้ ดิฉันมองเห็นความสำเร็จของลุงแซมแล้ว คิดว่าลุงแซมต้องทำได้แน่นอน ดิฉันจึงพูดถึงโรคที่เป็นอยู่และถามลุงแซมว่า
“หลังจากที่สูบบุหรี่ลดลงอาการเหนื่อยหอบและอาการไทรอยด์ทุเลาลงไหมคะ?” ลุงแซมก็บอกว่า “ไอหอบลดลง
กลางคืนก็หายใจดีขึ้น
ไม่ค่อยมีเสลด
แต่ก็ยังมีหอบกลางคืนเป็นบางวัน
แต่ดีขึ้นกว่าเดิม
มันยังติดอยู่ที่บุหรี่ 1 มวนนี้แหล่ะ ยังเลิกไม่ได้”
ดิฉันจึงแนะนำวิธีการเลิกบุหรี่อีกหนึ่งมวนนี้ให้ลุงแซม โดยการกำหนดวันให้ลุงแซมภายในหนึ่งอาทิตย์ บุหรี่
1
มวนนี้ต้องเลิกได้ในวันใดวันหนึ่ง
ลุงแซมรับปากว่าจะทำให้ได้
หลังจากนั้นก็คุยกันเกี่ยวกับวิธีการเลิก
การเอาชนะอาการหงุดหงิด
อาการโมโห
และอาการกระวนกระวายเมื่อเกิดอยากบุหรี่หรือที่เราเรียกว่าการขาดนิโคตินนั่นเอง ลุงแซมเข้าใจและคิดว่าจะต้องจัดการกับอาการต่าง ๆ
นี้ได้
ก่อนกลับบ้านวันนั้นดิฉันบอกกับลุงแซมว่า
“หมอจะเป็นกำลังใจให้ลุงแซมเอาชนะบุหรี่มวนเดียวนี้ได้นะคะ อีก 1 อาทิตย์เราค่อยมาพบกันตามนัดนะคะ หมอคิดว่าลุงแซมทำได้แน่นอนคะ” ลุงแซมยิ้มอย่างมีความสุข และบอกกับดิฉันว่า “จะพยายามทำตามที่คุณหมอบอก” ดิฉันยื่นใบนัดครั้งที่ 2 ให้แล้วลุงแซมก็กลับบ้านไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเคย
วันนัดครั้งที่ 2
มาถึงลุงแซมเดินมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนเดิม ดิฉันก็ทักทายตามปกติเช่นเคย “ดีใจนะคะที่ลุงแซมมาตามนัด” ลุงแซมยิ้มไม่พูดว่าอะไร หลังจากนั้นดิฉันก็คุยเรื่องทั่วๆ
ไปเป็นการทักทายและสร้างสัมพันธภาพเหมือนเดิมก่อนที่จะถามถึงเรื่องการสูบบุหรี่
“วันนี้เราก็จะคุยกันถึงเรื่องการเลิกบุหรี่ของลุงอีกนะคะ อาการของลุงดีขึ้นไหม?” ลุงแซมบอกว่า “ดีขึ้นนะ
นานๆ จะหอบที แต่ลุงยังเลิกไม่ได้เลย ยังเหลือ
1 มวนนี่แหล่ะ”
จากคำบอกเล่าของลุงแซมทำให้ดิฉันเริ่มสงสัยว่าบุหรี่แค่มวนเดียว ทำไมลุงแซมทำไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อน
3 - 4 มวนลุงแซมยังทำได้ ดิฉันจึงถามลุงแซมทันทีว่า “เพราะอะไรลุงถึงยังสุบอยู่มวนเดียวคะ?” ลุงแซมบอกว่า
“ มีอาการหงุดหงิดอยู่ทนไม่ได้เลย” ดิฉันก็ถามต่ออีกว่า “ 1 มวนที่สูบอยู่ลุงสูบช่วงไหนคะ?” ลุงแซมบอกว่า “ก็สูบตอนเช้า
สายๆ อีก บางครั้งก็สูบหลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จ”
ดิฉันยิ่งสงสัยมากขึ้นว่าทำไมบุหรี่มวนเดียวถึงสูบได้นานจัง แต่ลุงแซมแกก็อธิบายให้ฟังอีกว่า “ก็สูบมวนเดียวนั่นแหล่ะ
ช่วงเช้าสูบหนึ่งถึงสองอึกพอได้กลิ่นบุหรี่แล้วรู้สึกดีก็ดับบุหรี่แล้ววางไว้ สาย ๆ
หิวอีก ก็หยิบบุหรี่ที่วางไว้นั่นแหล่ะมาสูบอีกหนึ่งถึงสองอึกก็ดับบุหรี่แล้ววางไว้อีก เอาไว้สูบอีกตอนเที่ยง ก็เป็นบุหรี่มวนเดียวกันนั่นแหล่ะ บางครั้งก็สูบได้เกือบทั้งวันเลย ก็บุหรี่มวนเดียวนี่เอง” ลุงแซมเล่าทำให้ดิฉันนึกภาพออกได้ทันที เป็นแบบนี้นี่เอง ลุงแกถึงบอกว่าเลิกไม่ได้ เพราะบุหรี่มวนเดียวแต่สูบหลาย ๆ
อึก หลาย ๆ
ครั้งของแกนี่เอง
ดิฉันเริ่มมองเห็นภาพแล้ว
ทำให้คิดได้ว่าที่แท้แกติดบุหรี่มวนเดียวจริง ๆ
อย่างที่แกบอก
ตั้งแต่บำบัดมามีแกนี่แหล่ะที่แปลกที่สุด
บุหรี่มวนเดียวสูบได้ทั้งวัน
ก็ไม่ต่างกันกับคนที่สูบบุหรี่วันละ
4 - 5 มวนเลย
พอรู้สาเหตุที่มาที่ไปของบุหรี่มวนเดียวแล้ว
ดิฉันก็คุยกับลุงแซมเรื่องการเลิกบุหรี่มวนเดียวใหม่ โดยการทำข้อตกลงกันให้ชัดเจนมากขึ้น แนะนำวิธีการใหม่และเทคนิคใหม่ให้แก แกรับปากว่าคราวนี้จะทำให้ได้
หลังจากนั้นดิฉันจึงนัดหมายในครั้งต่อไปอีกหนึ่งอาทิตย์
วันนัดครั้งที่ 3 มาถึง
ลุงแซมมาที่คลินิกเหมือนเดิม
คราวนี้ลุงแซมยิ้มหน้าตาสดใสกว่าทุกครั้ง
เราได้คุยกันเกี่ยวกับการเลิกบุหรี่อีก
ลุงแซมบอกว่า
“ไม่ได้สูบหลังจากที่มาหาหมอวันนั้นนั่นแหล่ะ ลุงหยุดได้
5 - 6 วันแล้ว แรก
ๆ
ก็หงุดหงิดมากเหมือนกันแต่พอทำตามวิธีที่หมอบอกก็ทนได้” แรก
ๆ
ที่แกบอกดิฉันคิดว่าจริงหรือเปล่า
กลัวจะเป็นเหมือนบุหรี่มวนเดียวที่แกบอกอีก
จึงพยายามซักถามรายละเอียดการหยุดสูบบุหรี่ของแกมากขึ้น
คราวนี้แกยืนยันว่าแกไม่มีบุหรี่พกติดตัวเลย ไม่ใช้บุหรี่แล้วซ้ำยังเหม็นกลิ่นบุหรี่ที่คนอื่นเค้าสูบกันอีก อาการหอบเหนื่อย อาการไอก็ดีขึ้น” แกพูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังมาก ดิฉันเชื่อในสิ่งที่แกพูด และอดชื่นชมแกไม่ได้
จึงให้กำลังใจและแนะนำการป้องกันการกลับมาเสพซ้ำให้แก แกบอกว่า
“ไม่แล้วพอแล้ว
กว่าจะเลิกได้มันทรมานเหมือนกัน”
หลังจากนั้นดิฉันจึงนัดหมายให้แกมาพบอีกครั้งในอาทิตย์หน้า จะครบโปรแกรมการบำบัดบุหรี่ที่คลินิกฟ้าใส
วันนัดหมายครั้งที่ 4
ลุงแซมมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมากกว่าเดิม
วันนี้แกบอกว่า
“วันนี้ลุงมาที่คลินิกหอบหืดด้วย
อาการดีขึ้นมากตั้งแต่ไม่มีควันบุหรี่
ไม่ไอ ไม่หอบ นอนหลับดี”
ดิฉันก็ทักทายลุงแซมและเรามีความคุ้นเคยกันมากขึ้น กิจกรรมครั้งสุดท้ายของการนัดบำบัดก็จะเน้นให้ลุงแซมมีความมั่นใจ มีกำลังใจและไม่กลับไปเสพบุหรี่ซ้ำอีก
และคุยกับลุงแซมเรื่องการติดตามเยี่ยมที่บ้านเพื่อเป็นการฟื้นฟูและป้องกันการกลับไปเสพบุหรี่ซ้ำนั่นเอง
ลุงแซมเข้าใจและยินดีที่หมอจะไปเยี่ยมที่บ้าน
ดิฉันจึงได้เขียนใบนัดหมายว่าติดตามเยี่ยมบ้านวันใดบ้าง
หลังจากนั้นดิฉันจึงให้ลุงแซมกลับไปรับยาโรคถุงลมโป่งพองตามนัดหมายที่คลินิกโรคเรื้อรังต่อไป
กิจกรรมการบำบัดบุหรี่เป็นเรื่องของการเข้าถึงทั้งตัวบุคคล ปัญหาและสาเหตุต่าง ๆ
การมีสัมพันธภาพที่ดี
และที่สำคัญต้องมีการสังเกตแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ
น้อย ๆ บางครั้งเราก็มองผ่านไปทำให้เรามองไม่เห็นปัญหา การแก้ปัญหาจึงไม่ได้ผล
เช่นเดียวกับเรื่องของลุงแซมที่ตัวดิฉันเองมองข้ามผ่านไปว่าแค่บุหรี่มวนเดียวยังไงลุงแซมต้องทำได้ แต่จริง ๆ
แล้วไม่ใช่เลย
ตอนนี้ดิฉันกับลุงแซมก็ยังติดต่อกันในเรื่องของการติดตามเยี่ยม ดิฉันดีใจที่แกเลิกบุหรี่ได้ ถึงตอนนี้เป็นระยะเวลาเกือบ 3
เดือนแล้วที่แกเลิกยุ่งเกี่ยวกับบุหรี่โดยเด็ดขาด แกมาตามนัดที่คลินิกโรคเรื้อรังสม่ำเสมอ สุขภาพของแกดีขึ้นมาก ไม่ค่อยหอบเหนื่อยบ่อยเหมือนแต่ก่อน อาการของไทรอยด์ก็อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่แสดงอาการกำเริบ
ดิฉันดีใจที่เห็นคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น
และดิฉันก็มีกำลังใจในการที่จะบำบัดบุหรี่ให้กับผู้รับบริการทุกคนที่สนใจจะเลิกบุหรี่ด้วยความยินดียิ่งคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น